RSS

Category Archives: World Wrote Life

เขียนคน ค้นธรรมชาติ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม (เผื่อโลกจะเย็นลง)

มองเห็นธรรม

ผมฟังธรรมอยู่บ่อยๆ ไม่จำกัดว่าต้องเป็นคำสอนจากพระอาจารย์ท่านไหน ส่วนใหญ่หมุนวิทยุไปเจอพระเทศน์ก็หยุดฟัง บางวันจับความได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็ยังพอรู้เรื่องครับ ไอ้ที่ไม่รู้เรื่องเลยคงไม่มี เพียงบางวันฟังแล้วยังสงสัย ยังไม่กระจ่างก็มีบ้าง เพราะเวลาเรามีจำกัด ไม่ได้นั่งฟังแต่ต้นจนจบ ยังไงก็แล้วแต่ การฟังธรรมถ้าไม่นับเรื่องความรู้ที่ได้ เราก็ได้อารมณ์สงบเป็นของแถม (ถ้าไม่มีประเด็นถกเถียงกันให้เราฟังน่ะนะ)

วันก่อนพระท่านพูดกับญาติโยมนักปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องจิต ผมก็จดๆเอาไว้ แต่อาจจะได้ไม่ครบถ้วนกระบวนความ คือท่านให้ลองพิจารณากันดูว่าใครปฏิบัติอยู่ในข่ายไหนบ้าง

พวกหนึ่งฝึกจิตโดยหยุดจิตให้นิ่งไว้ ไม่รับอารมณ์ใหม่เข้ามาเพิ่ม ท่านตั้งข้อสังเกตว่า แม้ไม่รับอารมณ์ใหม่มาเพิ่ม แต่อารมณ์เก่าที่เรารับมาแล้วจนเต็ม เราจะทำยังไงกับมัน เพราะเราหยุดจิตนิ่งๆไว้ไม่ได้ตลอด วันดีคืนดีอารมณ์เก่าๆที่คั่งค้างมันก็จะผุดขึ้นมากวนจิตอยู่เรื่อย ถ้ายืนยันจะรักษาจิตให้นิ่งต่อไปเรื่อยๆ ท่านถามว่ามันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน

พวกหนึ่งเชื่อว่าจิตเดิมนั้นมีแต่ความว่าง ดังนั้นจึงพยายามปัดอารมณ์ต่างๆที่เข้ามาให้พ้นออกไป เหมือนป้องกันจิตให้มีแต่ความใสอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่อารมณ์ต่างๆก็ย่อมจะเข้ามาหาจิตไม่รู้จักหยุดหย่อน ท่านถามว่าลักษณะนี้เหมือนการวนอยู่กับที่หรือไม่ มันจะมีจุดสิ้นสุดที่ตรงไหน

พวกหนึ่งปลงใจว่าจิตนั้นหยุดรับอารมณ์ไม่ได้ เพราะอารมณ์กับจิตเป็นของคู่กัน จึงวางใจว่ามันเป็นธรรมชาติของมัน พยายามไม่ยินดียินร้าย ไม่จับมันแยกออกจากกัน แต่แม้จะยอมรับความจริงข้อนี้แล้ว ท่านก็ชี้ว่ายังหาทางออกไม่ได้อยู่ดี เพราะจิตรับอารมณ์แล้วเกิดความสงบหรือไม่ บางวันก็สงบ บางวันก็ไม่สงบ จะรับรู้มันไปทำไม จะไม่ให้จิตปรุงแต่งเลยก็ทำไม่ได้ สุดท้ายจะไปจบที่ตรงไหน

จึงมาถึงพวกที่พระอาจารย์พยายามจะชี้ให้เห็นอีก ท่านว่าพวกหนึ่งรู้ว่าจิตคู่กับอารมณ์เป็นธรรมดา ดังนั้นเมื่อจิตรับอารมณ์อะไรก็ให้กำหนดรู้ตามไปเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่สักว่ารู้ไปเรื่อยๆโดยไม่มีเป้าหมาย เพราะมันจะวนเวียนเหมือนพวกอื่นๆ ท่านว่าเมื่อตามรู้แล้วต้องทำให้ตัวเองมีสติปัญญามากกว่านั้น คือต้องพิจารณาว่า มันเกิดแล้วก็ดับไป ทั้งสุข ทั้งทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์ เมื่ออารมณ์เหล่านั้นเกิดแล้วมันก็ดับ

พูดมาถึงตรงนี้ ท่านก็ถามอีกนั่นแหละว่า เมื่อกำหนดรู้ไปเรื่อยๆ ทำแล้วจะไปจบตรงไหน ตามรู้ตามเห็นตามจิตไปเรื่อยๆแล้วจะไปจบยังไง (เอ๊า…ยังไงล่ะเนี่ย)

ยังมีอีกพวกหนึ่ง พระอาจารย์เทศน์อุปมาอุปไมยว่า การภาวนาก็เหมือนการฝึกลิง คือต้องจับลิงเอาไว้ให้ได้ก่อน จากนั้นก็ผูกมันไว้ แล้วก็ทำให้มันเลิกพฤติกรรมความซุกซน ซึ่งก็เหมือนการคุมจิตให้สงบนั่นเอง ทีนี้เมื่อจิตสงบเราก็ปล่อยจิตไปเฉยๆ มันก็เหมือนกับการแก้มัดลิงออก สุดท้ายลิงก็กลับเข้าป่าไปตามธรรมชาติของมัน ไม่ต่างกับการปล่อยจิตให้วิ่งกลับไปหาราคะ โทสะ โมหะ ท่านก็ถามว่าอย่างนี้แล้วจะจับมันแล้วปล่อยมันทำไม หาจุดจบไม่ลง

พระท่านยังสอนต่อ จิตนั้นคบกับอารมณ์มานาน เหมือนเป็นเพื่อนซี้กัน ดังนั้นเราควรสอนจิตให้รู้ข้อมูลบางอย่างให้เห็นโทษในอารมณ์เหล่านั้น คือให้จิตเข้าใจอริยสัจ รู้ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ดับสาเหตุของทุกข์ และรู้ทางที่จะดับทุกข์

ท่านว่าสิ่งที่เราควรทำคือ 1 บังคับจิตให้สงบ 2 สอนให้เห็นโทษของการไปหาอารมณ์ ต้องให้จิตไปรู้เห็นบางอย่างที่เขายอมรับได้ พิจารณากายตั้งแต่ศีรษะถึงปลายเท้าให้เห็นตามความจริง เพื่อคลายความยึดมั่นในตัวตน 3 พึงระลึกว่าอารมณ์ทั้งหมดนั้นจิตได้เก็บเกี่ยวมาเอง ฉะนั้นอารมณ์ที่ค้างอยู่ จิตต้องเอาอารมณ์นั้นออกไปเอง……

อย่างที่บอกแต่ต้นแหละครับท่านผู้อ่าน บางวันผมก็ฟังธรรมได้ไม่กระจ่าง เพราะฟังมาถึงตรงนี้กำลังจะสรุปวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุด เวลาของรายการก็หมดลงพอดี เทปเสียงที่พระอาจารย์ท่านเทศน์ไว้จึงถูกตัดลงห้วนๆ

เฮ้อ…

the-pier11

the-pier2

the-pier3 

ม้านั่งสุดปลายสะพานเป็นสถานที่ที่ผม แม่ และน้องปลา มานั่งเล่นกันตอนกลางคืนช่วงสงกรานต์ บรรยากาศเงียบสงบกลางแสงจันทร์และระลอกคลื่น ผมพยายามอธิบายให้แม่เข้าใจว่าการชุมนุมของเสื้อแดงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างไรบ้าง ส่วนแม่ก็พยายามระบายความอัดอั้นตันใจของคนเสื้อแดงว่าเขารู้สึกถึงความอยุติธรรมอย่างไร โดยมีน้องปลาช่วยพูดช่วยฟังทั้งสองฝ่าย

ผลัดกันพูดผลัดกันฟังอย่างออกรส จังหวะนั้นก็มีดาวตกวูบเป็นแสงยาว พวกเราเห็นกันพอดี น้องปลาร้องทัก “อุ๊ยนั่น…ดาวตก”

การสนทนาที่คล้ายโต้เถียงจึงหยุดลงได้ ซึ่งดูเหมือนกระแสอารมณ์ต่างๆก็สงบตามไปด้วย

ใครคนหนึ่งพูดขึ้น… “ดาวตกนี่สวยดีนะ”

 
13 ความเห็น

Posted by บน พฤษภาคม 4, 2009 นิ้ว My Little Journey, World Wrote Life

 

พักยก

radio

ผมออกจากกรุงเทพวันที่ 10 เมษายน และเดินทางกลับถึงบ้านในช่วงค่ำวันที่ 14 เมษายน เป็นการเที่ยวสงกรานต์ตามที่ได้กำหนดเอาไว้ล่วงหน้า ไม่มีเจตนาจะหลบหนีความรุนแรงทางการเมืองอะไร ขณะที่อยู่ต่างจังหวัด ก็ติดตามข่าวเสื้อแดงประท้วงแบบสรุปสาระสำคัญรายวัน คือไม่ได้เกาะติดทุกความเคลื่อนไหว แน่นอนครับว่า เรื่องสำคัญของบ้านเมือง ย่อมไม่เกี่ยวกับอารมณ์ส่วนตัวว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เมื่อมันเกิดเรื่องขึ้น เราก็ไม่ทำเป็นไม่สนใจไยดี ซึ่งก็คงเหมือนกับคุณๆ ผมเองก็ตามข่าวด้วยความห่วงใย แม้จะอยู่ในช่วงท่องเที่ยวก็ตาม

อย่างไรก็แล้วแต่ ความห่วงใยของผมนั้น เป็นความห่วงใยที่ได้ไตร่ตรองดูแล้วว่า ตัวเราเองสามารถทำอะไรได้บ้าง เราจะช่วยเหลืออะไรเขาได้มั้ยเพื่อให้สถานการณ์มันดีขึ้น พอคิดๆดูแล้ว ก็รู้ตัวว่าทำอะไรไม่ได้เลย เพราะผมไม่เห็นด้วยกับความรุนแรง แต่ให้ผมไปห้ามพวกเสื้อแดงเขาก็ไม่ฟังอยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงทำได้แค่ห่วงใยและภาวนา โดยที่ตัวเองไม่ได้รู้สึกเครียดหรือเป็นทุกข์กับเรื่องนี้ ผมคงอยู่ในความสงบ เที่ยวให้สนุก จับจ่ายใช้สอยอุดหนุนพ่อค้าแม่ขายและผู้ประกอบการตาดำๆ พยายามคิดว่า ไหนๆเราก็มีกรรมร่วมกันเป็นคนในสังคมเดียวกันแล้ว เรามาแบ่งหน้าที่กันทำไปพลางก่อน คุณเสื้อแดงทำเพื่อประชาธิปไตยของคุณไป ส่วนผมก็ช่วยเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ พยายามใช้จ่ายเงินทองที่พอมีเพื่อไม่ให้เทศกาลท่องเที่ยวมันต้องกร่อย หลังจากที่พวกเราพลาดไปแล้วเรื่องการประชุมอาเซี่ยน ซัมมิท

เมื่อกลับมาถึงบ้านตอนค่ำ และได้ฟังข่าวดีว่าแกนนำเสื้อแดงประกาศยุติการชุมนุมและยอมเข้ามอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ (แม้จะเป็นการยุติแค่ชั่วคราวก็ตาม) ผมยกมือไหว้สิ่งศักดิ์เลยครับ ผมภาวนาขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ ตอนที่ผมพาแม่และน้องปลาเข้าวัดทำบุญ พอดีมีโอกาสไหว้พระนเรศวร พระเจ้าตาก จึงขอให้พระองค์ท่านช่วยแผ่นดินสยาม ซึ่งลูกหลานเรียกมันว่าประเทศไทย ขอให้ความวุ่นวายยุติลง ขอให้รอดพ้นวิกฤติ

ตอนที่เสื้อแดงบุกจนการประชุมอาเซี่ยนต้องยกเลิกไปนั้น ผมคิดว่าถ้ามีโอกาสก็จะเข้ามาอัพบล็อก เรียกร้องให้รัฐบาลยอมแพ้และประกาศยุบสภา เพราะพวกคุณจัดการปัญหาไม่ได้ คุณซื้อใจคนส่วนใหญ่ไม่สำเร็จ แต่สุดท้ายผมต้องยอมรับว่าคุณทำได้ คุณรักษากฏหมายเอาไว้ได้ โดยเฉพาะเป็นการปฏิบัตหน้าที่ตามสถานการณ์ ในแต่ละพื้นที่ ในแต่ละเหตุการณ์ มีความหนักเบาต่างกันไป คุณทำได้เหมาะสมบนความชอบธรรม ซึ่งความชอบธรรมนี้ แม้บางคนอาจมีมุมมองที่เถียงกันได้ แต่ผมก็เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ยอมรับว่ามันยังอยู่บนความชอบธรรม คุณจัดการอะไรต่างๆได้ดีกว่ารัฐบาลสมัครและรัฐบาลสมชาย ทุกรัฐบาลต่างก็มีเครื่องมือเท่าเทียมกัน อยู่ที่ว่าใครจะมีกึ๋นและสำนึกในความรับผิดชอบมากกว่ากันเท่านั้น

และผมก็จะไม่ลืมว่า เสื้อเหลือง กับ เสื้อแดง เป็นคนละกลุ่มกัน พวกเขามีเป้าหมาย มีกลยุทธ และมีดีกรีความรุนแรงแตกต่างกัน ความเห็นของผมนั้น เราต้องมองแยกให้ละเอียด ไม่ควรมองรวมๆแค่ว่าสองเหตุการณ์ล้วนเป็นเรื่อง “รัฐบาลสลายกลุ่มผู้ชุมนุม” โดยที่ไม่ได้พิจารณาความจำเป็นที่บีบบังคับให้รัฐบาลนั้นๆต้องตัดสินใจ ณ เวลานั้น จริงแล้วเหตุการณ์เฉพาะหน้าของแต่ละรัฐบาลที่ต้องเผชิญ มันอยู่บนเงื้อนไขที่ไม่เหมือนกัน  

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ในท้ายที่สุดผมก็ต้องไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณกลุ่มเสื้อแดงที่ยอมยุติการชุมนุม ขอบคุณที่ไม่ขอสู้แตกหักตายเป็นตายแบบขาดสติไปมากกว่านี้ ขอบคุณครับ

ป.ล.รูปข้างบน ซื้อจากร้านโชห่วย ราคา 450 บาท ใช้ถ่านก้อนใหญ่ 4 ก้อน สะดวกดีครับ หิ้วติดตัวเวลาไปนั่งเล่นริมทะเล ไว้ฟังเพลง ธรรมะ ข่าว เสียงดังฟังชัด
 
ป.ล.ตอนต่อไปเกี่ยวกับเรื่องวิเคราะห์ดวง เที่ยว และการทำบุญ รวมๆกันนะครับ 🙂

 
5 ความเห็น

Posted by บน เมษายน 16, 2009 นิ้ว My Little Journey, World Wrote Life

 

ทะเล ใจ และไผ่แดง

เป็นครั้งแรกที่เว้นวรรคอัพบล็อกไปกว่าหนึ่งเดือน ทำให้เดือนมีนาคม 2009 ไม่มีอยู่ในปฏิทินบล็อกจิตปัน ซึ่งอันนี้ต้องโทษดาวยูเรนัสที่ย้ายเข้าราศีมีน อิทธิพลของมันทำให้ผมต้องระหกระเหเร่ร่อนไปนอนค้างอ้างแรมตามหัวเมืองชายฝั่งทะเล ชนิดที่เรียกว่า สัปดาห์ชนสัปดาห์ แทบจะไม่ได้นอนบ้านเลยครับ เริ่มตั้งแต่พัทยา ไปต่อภูเก็ต กลับมากระบี่ และจบด้วยหัวหิน ตั้งแต่สนามกอล์ฟ ปีนภูเขา ไปจนถึงดำน้ำดูปะการังและเจ้านีโม่

จากทุนเดิมเป็นคนผิวสองสี มาบัดนี้ตัวดำขำยิ่งกว่า วิล สมิธ ก็ไม่ปาน 🙂

เท่านั้นไม่พอ ผมยังถูกบังคับให้เที่ยวดึกดื่น เข้าเทค และร้องคาราโอเกะหลายคืนติดต่อกัน เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจทุกสิ่งอย่าง ผมกลับมาบ้านด้วยซุ่มเสียงแหบพร่า ไอค็อกแค็กเหมือนโรคเรื้อรัง ส่วนหัวใจรึก็จุกๆเสียดๆ เกรงว่าไขมันจะอุดตันเส้นเลือดหนักขึ้นกว่าเดิมรึเปล่า เพราะเกือบทุกวันกินแต่อาหารทะเล หลากหลายสไตล์ ไทย จีน อิตาลี ฝรั่งเศส แถมทุกเบรคฟาสต์ผมใจอ่อนทุกทีที่บริกรมาถามว่าจะรับชาหรือกาแฟ ซึ่งผมขอกาแฟ

เมื่อวานผมเลยต้องไปหาหมอเพื่อตรวจระดับไขมันในเลือด คาดว่าคอเรสเตอรอลและไตรกีเซอร์ไรด์คงจะพุ่งปรี๊ดส์ รวมทั้งขอยาแก้หลอดลมอักเสบมากินด้วย แต่ผลตรวจเลือดกลับบอกว่าระดับไขมันยังชนเพดานของเกณฑ์ปกติอยู่ (คือถ้ามากกว่านั้นนิดเดียวก็จัดอยู่ในระดับสูง) ทั้งที่ผมไม่ได้กินยาลดไขมันมาเป็นปีแล้ว อันนี้ต้องยกความดีให้ชาสมุนไพรไทยทั้งหลายที่ผมเพียรชงดื่มอยู่เป็นประจำ ไม่น่าเชื่อว่ามันช่วยได้จริงๆ

ยังไงก็แล้วแต่ เพราะมีไข้อยู่เล็กน้อยและไอบ่อย มันเลยระบมไปถึงหน้าอกและปวดเมื่อยตามเนื้อตัว จากนี้ไปผมคงต้องนอนพักผ่อนเยอะๆ เพราะอีกไม่เท่าไหร่ก็จะถึงเทศกาลสงกรานต์อีกแล้ว งานนี้ก็คงต้องเหนื่อยกันอีกรอบ แต่หนนี้เป็นการเที่ยวล้วนๆ ไม่มีงานมาเจือปน เมื่อเดือนที่ผ่านมา ไม่ว่าผมจะไปอยู่ที่ไหน ก็มักจะนึกถึงน้องปลาอยู่เสมอ อยากให้น้องปลามาอยู่ด้วยกัน ก็เลยตั้งใจว่าสงกรานต์นี้จะไม่ขออยู่เวรทำงาน อยากหยุดพร้อมน้องปลาแล้วพาเธอไปเที่ยวทะเล เพราะการไปทะเลโดยไม่มีเธอ กับการพาเธอไปทะเลนั้น ความรู้สึกมันแตกต่างกันเหลือเกิน…

พูดถึงเรื่องคาราโอเกะ หลังจากผมกลับมากรุงเทพแล้ว ค่ำวันรุ่งขึ้นก็แวะไปหาเพื่อนรุ่นพี่ที่เปิดร้านอาหารและมีคาราโอเกะให้แขกขึ้นไปร้องบนเวที ผมซึ่งเสียงยังแหบๆ ก็อุตส่าห์ขึ้นไปร้องโชว์แบบไม่ขัดศรัทธา ร้องไปหลายรอบจนไม่รู้จะร้องเพลงอะไรดี จู่ๆนึกถึงเพลง “ไผ่แดง” ก็เลยร้องเพลงนี้

ปรากฏว่าร้องไปได้รอบหนึ่งกำลังจะวนกลับมาซ้ำอีกรอบ สายตาเหลือบไปเห็นแขกโต๊ะหนึ่งนั่งกันอยู่ 5-6 คน ใส่เสื้อสีแดงกันเป็นส่วนใหญ่ ทุกคนเหมือนหยุดการพูดจา ต่างมองขึ้นมายังผมบนเวที ขนาดคนที่ถูกเพื่อนบังก็ยังอุตส่าห์ชะโงกหน้าเพื่อมองผม

สำนึกของผมเข้าใจได้ทันที คงเป็นพวกเสื้อแดงที่กลับมาจากฟังทักษิณโฟนอินแน่ๆเลย บังเอิญอะไรอย่างนี้ เนื้อเพลงไผ่แดง เดิมทีพูดถึงอุดมการณ์ที่แตกต่างระหว่างเสรีนิยม กับลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่มันดันเข้ากันพอดีกับเหตุการณ์วุ่นวายในช่วงนี้ โดยเฉพาะสีแดงในเนื้อเพลงคงทำให้พวกเสื้อแดงรู้สึกว่าโดนด่าอยู่รึเปล่า

“ไผ่ต่างพันธุ์ ต่างเผ่า ต่างกอ ไผ่ก็ยังต่างสี ดั่งผู้คนในสังคมเรานี่ ไยจะไม่ต่างกัน”

“คนละทาง คนละอย่าง คนละอุดมการณ์ แต่ก็มีจุดหมายเดียวกัน เป็นเรื่องราว ของชาวไผ่แดง”

“บ้างก็รู้ กันอยู่แก่ใจ บ้างก็ฝันกันไป”

“แต่จงจำไว้ก่อนจะสาย อย่าให้ใคร มาสนตะพาย”

ร้องมาถึงท่อนสุดท้าย ซึ่งตามเพลงต้องร้องซ้ำสองครั้ง ผมพยายามดัดเสียงแหบพร่าของตัวเองให้เหมือนพี่เทียรี่มากที่สุด ทอดเสียงเนิบช้า-เศร้า และหวังว่าคงจะกินใจใครก็ตามที่กำลังฟังอย่างตั้งใจ

“แต่จงจำไว้ก่อนจะสาย อย่าให้ใคร มาสนตะพาย”…

 
14 ความเห็น

Posted by บน เมษายน 3, 2009 นิ้ว My Little Journey, World Wrote Life

 

จิ๊กซอว์ความสุข

happiness1

: เมื่อวานฟังจากเอเอ็ม 963

นิทานเรื่องปีศาจทั้ง 4

มีปีศาจอยู่ 4 ตน ไม่อยากให้มนุษย์มีความสุข จึงปรึกษาหารือกันจะเอา “ความสุข” ไปซ่อนไว้เพื่อไม่ให้มนุษย์หาเจอ จะได้มีกันแต่ความทุกข์

ปีศาจ 1 เสนอไอเดีย น่าจะเอาความสุขไปซ่อนไว้ใต้ทะเล

ปีศาจ 2 ว่า น่าจะเอาความสุขไปซ่อนในป่า

ปีศาจ 3 ว่า น่าจะเอาความสุขไปซ่อนที่น้ำตก

ปีศาจ 4 ฉลาดกว่าใครเพื่อน มันบอกว่า ถ้าเอาความสุขไปซ่อนไว้ตามที่ต่างๆ มนุษย์ก็เดินทางไปหาจนเจออยู่ดี ถ้างั้นเอาความสุขซ่อนไว้ในตัวมนุษย์เองนั่นแหละ เชื่อเถอะ มนุษย์วิ่งหาเท่าไหร่ก็หาความสุขไม่เจอ

จบนิทาน

 jigsaw1

: วันนี้ฟังจากเอเอ็ม 963

โบราณนานมานักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า “อะตอม” เป็นสิ่งที่เล็กที่สุด คำว่า “อะตอม” เป็นภาษากรีกแปลว่า “สิ่งที่แบ่งแยกไม่ได้” ประมาณว่ามันมีขนาดเล็กที่สุดแล้ว มันอยู่คงที่แล้ว แยกส่วนลงไปกว่านั้นไม่ได้แล้ว

“อะตอม” มันคงเป็นสุดยอดแห่ง “อัตตา” ว่างั้นเถอะ

แต่พระพุทธเจ้าค้นพบเมื่อกว่า 2,500 ปี ว่าทุกสรรพสิ่งหาใช่ “อัตตา” ไม่ แท้จริงล้วนเป็น “อนัตตา”

ต่อมาก็มีการค้นพบว่า “อะตอม” นั้นยังมีส่วนที่เล็กยิ่งกว่า มันถูกแยกออกเป็น อิเลกตรอน โปรตอน นิวตรอน…

ผมคิดว่า วิทยาศาสตร์คงค่อยๆพิสูจน์ทีละเล็กละน้อยถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ค้นพบ สักวันเราคงได้ชิ้นส่วนจิ๊กซอว์จากนักวิทยาศาสตร์หลายยุคสมัย เอามาประกอบกันเพื่อยืนยันคำสอนของพระพุทธเจ้า

 

: วันนี้สำหรับคำถามที่ว่า “ความสุขเกิดได้จากอะไร?”

ผมหยิบไพ่ทาโรต์เผื่อใครหลายๆคนที่กำลังรอคอยความสุขอยู่ในเวลานี้

ได้ไพ่ Wheel of Fortune

wheel-of-fortune1

ไพ่กงล้อแห่งโชคชะตา ในกรณีนี้ ถ้าจะมองเป็น “กงล้อแห่งกรรม” น่าจะตรงกว่า

กฏแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ความสุขย่อมอยู่ที่การกระทำ ทำสิ่งที่เป็นความสุขก็จะเกิดสุข ให้ความสุขแก่คนอื่น ความสุขก็จะย้อนกลับมาหาเรา แต่ถ้าทำสิ่งตรงกันข้าม ก็จะได้รับผลตรงกันข้ามเช่นเดียวกัน อยากให้จิตเกิดปีติสุข ก็ต้องปฏิบัติที่จิต ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย ทุกสิ่งยังไม่สาย พยายามเข้าครับ

ป.ล. สำหรับกัลยาณมิตรทุกท่าน Rightview Online คลอดนิตยสารออนไลน์ ฉบับไตรมาสแรกปี 2009 ออกมาแล้วครับ ความยาว 49 หน้า บรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับธรรมะที่น่าสนใจไว้มากมาย ลองโหลดอ่านกันดูนะครับ

 
5 ความเห็น

Posted by บน กุมภาพันธ์ 22, 2009 นิ้ว Healing Tarot, My Little Journey, World Wrote Life

 

คืนวันพระ

buddha3

ใช้ไพ่ Buddha Discovery Deck ขอคำแนะนำเหมือนอย่างที่เคยทำ ในปีนี้คำอธิษฐานของผมก็ยังเป็นทำนองเดิม คือ ขอคำแนะนำเกี่ยวกับการฝึกจิต ปฏิบัติธรรม เพื่อความสำเร็จในชีวิต (ทั้งทางโลกและทางธรรม) ปรากฏว่าไพ่พร้อมคำแนะนำที่หยิบได้เป็นไปตามที่ผมกำลังสนใจอยู่ในตอนนี้พอดี คือ การเฝ้าดู กาย กับ จิต

ลอกเอามาให้อ่านครับ ถึงจะเป็นคำสอนง่ายๆ ไม่ได้อธิบายจำแนกแยกแยะให้ลึกซึ้งลงไป แต่ก็เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อคนที่กำลังตั้งใจปฏิบัติกันดีอยู่แล้ว เพื่อให้มีกำลังใจปฏิบัติต่อไป และเพื่อชักชวนคนที่ยังไม่ได้ปฏิบัติ ให้ลองทำกันดู กำหนดรู้อยู่แค่กายและจิต มองกายเป็นบ้านที่เราอาศัยอยู่ ส่วนจิตก็มองลึกลงไปข้างใน ถ้าปฏิบัติแบบสมถะ ก็ให้มองลึกลงไป ให้นิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่สงบนิ่งจริงๆ หากมองอย่างวิปัสสนา ก็ให้มองจิตเป็นตัวรับรู้ทวารต่างๆ มันรับรู้อะไร ยังไง เราเป็นเพียงผู้เฝ้าดูมันทำหน้าที่ของมันไปตามธรรม

แต่ก็อย่าปฏิบัติจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน กายมันจะทรุดโทรมเกินไป ดูแลตัวเองด้วยครับ

As you become a witness, as you become aware, you simply come to know that you are not the body, not the mind, not even the heart. You are simply a watcher, different from all that surrounds you. The body is your outermost boundary; the mind a little more inner, the heart still more inner, but at the innermost core you are just a consciousness.

Knowing this you become detached from your own body, your mind, your heart; and that detachment brings mastery. Not that you become destructive to the body you take every care of it, it is a beautiful instrument, it is a great gift of existence. But now you know that it is only the house you live in. Just as you take care of your house, you take care of your body; it is the temple.    

ป.ล. ถึงคุณเบิร์ด ที่คุณเขียนตัวอย่างมาให้ผมอ่าน ผมคอมเมนต์ตอบให้แล้วใน ทาโรต์ทางเลือก (แบบเบิร์ดๆ 1) ต่อจากที่คุณเขียนไว้ คลิกเข้าไปดูได้เลยครับ

 
1 ความเห็น

Posted by บน กุมภาพันธ์ 18, 2009 นิ้ว Healing Tarot, My Little Journey, World Wrote Life