ผมฟังธรรมอยู่บ่อยๆ ไม่จำกัดว่าต้องเป็นคำสอนจากพระอาจารย์ท่านไหน ส่วนใหญ่หมุนวิทยุไปเจอพระเทศน์ก็หยุดฟัง บางวันจับความได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็ยังพอรู้เรื่องครับ ไอ้ที่ไม่รู้เรื่องเลยคงไม่มี เพียงบางวันฟังแล้วยังสงสัย ยังไม่กระจ่างก็มีบ้าง เพราะเวลาเรามีจำกัด ไม่ได้นั่งฟังแต่ต้นจนจบ ยังไงก็แล้วแต่ การฟังธรรมถ้าไม่นับเรื่องความรู้ที่ได้ เราก็ได้อารมณ์สงบเป็นของแถม (ถ้าไม่มีประเด็นถกเถียงกันให้เราฟังน่ะนะ)
วันก่อนพระท่านพูดกับญาติโยมนักปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องจิต ผมก็จดๆเอาไว้ แต่อาจจะได้ไม่ครบถ้วนกระบวนความ คือท่านให้ลองพิจารณากันดูว่าใครปฏิบัติอยู่ในข่ายไหนบ้าง
พวกหนึ่งฝึกจิตโดยหยุดจิตให้นิ่งไว้ ไม่รับอารมณ์ใหม่เข้ามาเพิ่ม ท่านตั้งข้อสังเกตว่า แม้ไม่รับอารมณ์ใหม่มาเพิ่ม แต่อารมณ์เก่าที่เรารับมาแล้วจนเต็ม เราจะทำยังไงกับมัน เพราะเราหยุดจิตนิ่งๆไว้ไม่ได้ตลอด วันดีคืนดีอารมณ์เก่าๆที่คั่งค้างมันก็จะผุดขึ้นมากวนจิตอยู่เรื่อย ถ้ายืนยันจะรักษาจิตให้นิ่งต่อไปเรื่อยๆ ท่านถามว่ามันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน
พวกหนึ่งเชื่อว่าจิตเดิมนั้นมีแต่ความว่าง ดังนั้นจึงพยายามปัดอารมณ์ต่างๆที่เข้ามาให้พ้นออกไป เหมือนป้องกันจิตให้มีแต่ความใสอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่อารมณ์ต่างๆก็ย่อมจะเข้ามาหาจิตไม่รู้จักหยุดหย่อน ท่านถามว่าลักษณะนี้เหมือนการวนอยู่กับที่หรือไม่ มันจะมีจุดสิ้นสุดที่ตรงไหน
พวกหนึ่งปลงใจว่าจิตนั้นหยุดรับอารมณ์ไม่ได้ เพราะอารมณ์กับจิตเป็นของคู่กัน จึงวางใจว่ามันเป็นธรรมชาติของมัน พยายามไม่ยินดียินร้าย ไม่จับมันแยกออกจากกัน แต่แม้จะยอมรับความจริงข้อนี้แล้ว ท่านก็ชี้ว่ายังหาทางออกไม่ได้อยู่ดี เพราะจิตรับอารมณ์แล้วเกิดความสงบหรือไม่ บางวันก็สงบ บางวันก็ไม่สงบ จะรับรู้มันไปทำไม จะไม่ให้จิตปรุงแต่งเลยก็ทำไม่ได้ สุดท้ายจะไปจบที่ตรงไหน
จึงมาถึงพวกที่พระอาจารย์พยายามจะชี้ให้เห็นอีก ท่านว่าพวกหนึ่งรู้ว่าจิตคู่กับอารมณ์เป็นธรรมดา ดังนั้นเมื่อจิตรับอารมณ์อะไรก็ให้กำหนดรู้ตามไปเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่สักว่ารู้ไปเรื่อยๆโดยไม่มีเป้าหมาย เพราะมันจะวนเวียนเหมือนพวกอื่นๆ ท่านว่าเมื่อตามรู้แล้วต้องทำให้ตัวเองมีสติปัญญามากกว่านั้น คือต้องพิจารณาว่า มันเกิดแล้วก็ดับไป ทั้งสุข ทั้งทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์ เมื่ออารมณ์เหล่านั้นเกิดแล้วมันก็ดับ
พูดมาถึงตรงนี้ ท่านก็ถามอีกนั่นแหละว่า เมื่อกำหนดรู้ไปเรื่อยๆ ทำแล้วจะไปจบตรงไหน ตามรู้ตามเห็นตามจิตไปเรื่อยๆแล้วจะไปจบยังไง (เอ๊า…ยังไงล่ะเนี่ย)
ยังมีอีกพวกหนึ่ง พระอาจารย์เทศน์อุปมาอุปไมยว่า การภาวนาก็เหมือนการฝึกลิง คือต้องจับลิงเอาไว้ให้ได้ก่อน จากนั้นก็ผูกมันไว้ แล้วก็ทำให้มันเลิกพฤติกรรมความซุกซน ซึ่งก็เหมือนการคุมจิตให้สงบนั่นเอง ทีนี้เมื่อจิตสงบเราก็ปล่อยจิตไปเฉยๆ มันก็เหมือนกับการแก้มัดลิงออก สุดท้ายลิงก็กลับเข้าป่าไปตามธรรมชาติของมัน ไม่ต่างกับการปล่อยจิตให้วิ่งกลับไปหาราคะ โทสะ โมหะ ท่านก็ถามว่าอย่างนี้แล้วจะจับมันแล้วปล่อยมันทำไม หาจุดจบไม่ลง
พระท่านยังสอนต่อ จิตนั้นคบกับอารมณ์มานาน เหมือนเป็นเพื่อนซี้กัน ดังนั้นเราควรสอนจิตให้รู้ข้อมูลบางอย่างให้เห็นโทษในอารมณ์เหล่านั้น คือให้จิตเข้าใจอริยสัจ รู้ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ดับสาเหตุของทุกข์ และรู้ทางที่จะดับทุกข์
ท่านว่าสิ่งที่เราควรทำคือ 1 บังคับจิตให้สงบ 2 สอนให้เห็นโทษของการไปหาอารมณ์ ต้องให้จิตไปรู้เห็นบางอย่างที่เขายอมรับได้ พิจารณากายตั้งแต่ศีรษะถึงปลายเท้าให้เห็นตามความจริง เพื่อคลายความยึดมั่นในตัวตน 3 พึงระลึกว่าอารมณ์ทั้งหมดนั้นจิตได้เก็บเกี่ยวมาเอง ฉะนั้นอารมณ์ที่ค้างอยู่ จิตต้องเอาอารมณ์นั้นออกไปเอง……
อย่างที่บอกแต่ต้นแหละครับท่านผู้อ่าน บางวันผมก็ฟังธรรมได้ไม่กระจ่าง เพราะฟังมาถึงตรงนี้กำลังจะสรุปวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุด เวลาของรายการก็หมดลงพอดี เทปเสียงที่พระอาจารย์ท่านเทศน์ไว้จึงถูกตัดลงห้วนๆ
เฮ้อ…
ม้านั่งสุดปลายสะพานเป็นสถานที่ที่ผม แม่ และน้องปลา มานั่งเล่นกันตอนกลางคืนช่วงสงกรานต์ บรรยากาศเงียบสงบกลางแสงจันทร์และระลอกคลื่น ผมพยายามอธิบายให้แม่เข้าใจว่าการชุมนุมของเสื้อแดงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างไรบ้าง ส่วนแม่ก็พยายามระบายความอัดอั้นตันใจของคนเสื้อแดงว่าเขารู้สึกถึงความอยุติธรรมอย่างไร โดยมีน้องปลาช่วยพูดช่วยฟังทั้งสองฝ่าย
ผลัดกันพูดผลัดกันฟังอย่างออกรส จังหวะนั้นก็มีดาวตกวูบเป็นแสงยาว พวกเราเห็นกันพอดี น้องปลาร้องทัก “อุ๊ยนั่น…ดาวตก”
การสนทนาที่คล้ายโต้เถียงจึงหยุดลงได้ ซึ่งดูเหมือนกระแสอารมณ์ต่างๆก็สงบตามไปด้วย
ใครคนหนึ่งพูดขึ้น… “ดาวตกนี่สวยดีนะ”