ตำราไพ่ป๊อกไทยโบราณ (ตอน ๑)

วันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๓ พิมพ์เผยแพร่เป็นวิทยาทาน (สงวนลิขสิทธิ์ ให้ฟรีไม่มีจำหน่าย)
สาระความรู้และเนื้อหา : ผู้เฒ่าช่างฝัน (อาจารย์ Dream โทร.081-137-1064)
จัดทำ : คุณวลีทิพย์ สุริโย
เรียบเรียงสาระความรู้จากเทปบันทึกและผู้จัดพิมพ์ : คุณนฐนนท พรพิพัฒน์การ

ก่อนอื่นต้องขอปวารณาตัวเสียก่อนว่าไม่ปรารถนามีชื่อเสียง ขอให้เข้าใจอย่างนี้ ปรารถนาให้ความรู้นั้นคงไว้ให้คนรุ่นหลัง อันไพ่ป๊อก ค่อนข้างจะลึกลับอยู่ซักหน่อย คำว่า “ลึก” นั้นหมายถึง หยั่งยาก “ลับ” นั้นหมายถึง เป็นของที่ต้องซ่อน เปิดได้เฉพาะที่ พูดได้เฉพาะกลุ่ม ผมอยากขออธิบายที่มาที่ไปเสียหน่อย อันโหราศาสตร์ไทยในสาขาไพ่ป๊อก เคยรุ่งเรืองอยู่ตามตลาดตามโรงแรม ตามชุมชุนต่างๆ ดูเหมือนจะเข้าใจง่าย เลยคิดว่ามันง่ายไปเสียหมด เหตุเพราะมันแม่นยำ และมีภาพลวงตาเสมอ เลยทำให้ผู้ที่ถูกทำนายทึกทักเอาว่า สามารถเปิดเองทำนายเองได้ เลยเสื่อมจากการนิยม เหตุเพราะรู้ไม่จริง ถ้าอยากจะรู้ผมจะอธิบายให้ฟัง เพื่อเป็นวิทยาทาน

การจะเริ่มทำนาย ต้องรู้ชาติภพ เช่น การวางไพ่ทั้งหมด มีลำดับก่อนหลังที่ตายตัว ส่วนใหญ่ที่เห็น วางกลับสลับทิศ ไพ่ป๊อกวงกลม มีรูปแบบเฉพาะตัว แบ่งแยกเป็นทิศ มีทั้งหมดแปดทิศ แบ่งเป็นคน มีศรีษะ ลำตัว แขน ขา แบ่งเป็นโลกสังคม มีภายใน ภายนอก มีรากฐาน มีความคิด มีการกระทำ ต้องเข้าใจอย่างนี้เสียก่อน จึงจะเข้าสู่การอ่านหน้าไพ่ เพราะไม่เข้าใจถึงภพ คือ แผ่นดิน สามสิบสองใบ คือเรื่องราวสามสิบสองอย่าง เอามาร้อยเรียงกันโดยวิญญาณไพ่แต่ละใบ มีความหมายเชื่อมโยงกัน

รากฐานสำคัญ คือ ตำแหน่งที่ถูกต้องของการวางไพ่ และการเดินเรื่องของไพ่แต่ละใบจะมีหน้าหลังสัมพันธ์กันถึงสามใบ เลยทำให้คนที่มักง่ายใจเร็ว ทอดทิ้งตำรานี้ไป การตกทอดสู่ผม เป็นอะไรที่อธิบายไม่ได้ จู่ๆ เขาก็ให้มา บอกว่า “แม่เขาเป็นหมอดูที่ดังแถวมักกะสัน” ซึ่งไม่มีที่มาที่ไป จะเอามากล่าวอ้าง ยกย่องสรรเสริญถึงครูบาอาจารย์นั้น ความหมายของการกตัญญูที่แท้จริงนั้น คือ ให้ใช้ความรู้นั้นอย่างต่อเนื่อง และเติบโตขึ้น ครูบอกว่า “ครูที่แท้จริง คือคนที่มาดู” ผมใช้เวลาติดตามดูในภาษาประโยคนี้หลายปีจึงเข้าใจ คำว่าครูที่มาดูที่แท้จริงสอนอะไรกับเรา เขามาสอนเรื่องราวความหมายไพ่อย่างตรงที่สุด ต่อความจริงที่เกิดขึ้นของเขา เพราะถ้าเราใช้จินตนาการ และความรู้ในอดีต จะทำให้เราขาดสูญ จากการพัฒนาองค์ความรู้อย่างต่อเนื่อง

ความรู้วิชาไพ่ป๊อกไทยโบราณ มีสามส่วน “ผู้มาให้ทำนาย – ผู้ทำนาย – วิชาไพ่” รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แสดงออกถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ วิชาไพ่แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกแสดงตำแหน่งไพ่มีชื่อต่างๆ กัน…..บ่งบอกถึงสถานที่และตำแหน่งของเรื่องราวที่เกิดขึ้น….. ส่วนที่สองคือหน้าไพ่ แสดงถึงวิญญาณไพ่ปรากฎเรื่องราว (ของผู้มาให้ทำนาย) มีคำเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “คนศักดิ์สิทธิ์ วิชาศักดิ์สิทธิ์ ไพ่ศักดิ์สิทธิ์”

*ไพ่มี ๓๒ ใบ* “เท่ากับอาการ ๓๒ ของคน” วางไพ่ เป็นสามชั้น ชั้นที่หนึ่ง ชั้นที่สองวางไพ่เป็นทิศทั้งแปด ชั้นที่สามวางไพ่เป็นวงกลมเรียกว่าวิญญาณไพ่เป็นไพ่เดินเรี่อง
*หน้าไพ่* มี ๓ ส่วน รูปภาพแสดงถึงบุคคล ตัวเลขแสดงถึงสถานะเรื่องราว สีของไพ่แสดงถึงคุณสมบัติของเรื่อง

ความจริงสูงสุดของไพ่ป๊อก (คือ ศิลปะการทำนายชั้นสูง ใช้จิตสัมผัสกับวิญญาณ ประกอบเข้าด้วยกัน) ตอบอย่างนี้ จะเข้าใจยากสักหน่อย เพราะเหตุว่ามันมีสองส่วน คือ

๑. จิตสัมผัสต้องไม่มีความคิด-ความจำ จึงใช้ได้ วิญญาณในที่นี้คือความเชื่อไม่ใช่ผี
๒. ขึ้นอยู่กับการเข้าถึงของจิตนั่นเอง วิชาไพ่ป๊อกมีอีกชื่อหนึ่งว่า “ไพ่วิญญาณ”

ตอนผมเรียนตอนแรกงงครับ จนอาจารย์บอกจึงเข้าใจ แกบอกว่าคนจะทำนายสอนอย่าง ชาวบ้านเขาสอนอย่าง อีกอย่างคุณต้องรู้ไว้ความรู้มีหลายระดับไม่ใช่คิดได้แล้วจะรู้ ต้องอาศัย ผู้รู้คอยประคองจนมั่นใจครูจึงปล่อยลงสู่สนาม ไม่ใช่ทุกวันนี้ปัสสะนึกเอง ขอโทษไม่อยากทำลายความมั่นใจ คิดได้ไงว่าแม่นยำไม่ผิดพลาด วิชาทั้งหลายในโลกมีข้อจำกัดทั้งนั้น เพราะเหตุฉะนี้แลจึงเกิดวิชาต่างๆ มากมาย การจะเข้าสู่จุดสูงสุดของวิชาของการทำนายที่แม่นยำต้องใช้ความรู้รอบตัวมาก รู้ไหมทำไมคนเก่าๆ แถวบ้านตามต่างจังหวัดเขากลัวตำราไพ่ป๊อกที่สุด เพราะมันสื่อสารได้ทุกเรื่อง

ผมขอโทษต่อผู้ร่วมอาชีพ….ที่จะเปิดเผยความจริงของการทำนาย การเรียนต้องทำตัว-ให้ว่างจากอคติเสียก่อน สมัยก่อนผู้ทำนายรุ่นเก่า บางท่านการศึกษาไม่สูงแต่ทำนายแม่นยำ ห่างไกลกับคำว่าจิตวิทยามาก เพราะผู้ทำนายจะเป็นคนพูดถึงเรื่องราวก่อนเสมอหรือที่เขาเรียกว่า “ทัก” นั่นเอง ตำแหน่งการวางไพ่ที่ถูกบัญญัติไว้ตายตัวย่อมมีเหตุผลของมันเอง เพื่อประโยชน์ในการผูกเรื่องราว เนื่องจากจะทำนายคนจึงต้องสร้างรูปแบบจำลองขึ้น คนมีอาการ ๓๒ ไพ่จึงมี ๓๒ ใบ แต่ละใบมีคุณสมบัติต่างกัน จะเรียนอะไร หรือเล่นอะไร ต้องทำความรู้จักถึงสิ่งนั้นเสียก่อนถึงที่มาที่ไป ถูกสร้างมาอย่างไร ใช้อย่างไรแล้วค่อยเล่น จะเล่นสนุก..…อดใจใว้หน่อยเพราะว่าเรื่องมันยาว อย่าสุกเอาเผากินจะเสียเวลาเปล่า และเนื่องจากตำรามีสามส่วน ครูเขาซ่อนเรื่องราวใว้เยอะค่อย ๆ ค้นไปจะพบคำตอบ…

(หมายเหตุ : สำหรับผู้ที่สนใจ ตำราไพ่ป๊อกไทยโบราณ สามารถเมล์มาได้ที่ waleetip@hotmail.com เบอร์โทร 08-0459-6754 ติดต่อ อาจารย์ ปาราวตี โดยตรง หรือจะเข้าไปที่www.praykhem.com)

 

ปางสะดุ้งมาร

ได้รับของแจกงานศพเป็นหนังสือ พระพุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน ของ อ.วศิน อินทสระ ซึ่งคณะผู้ที่ได้รับอนุญาตให้พิมพ์เผยแผ่เป็นธรรมทานในครานี้ได้นำพระนิพนธ์ของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เรื่อง พระพุทธเจ้าโคดม มาจัดพิมพ์ไว้ด้วย ความตอนหนึ่งผมอ่านแล้วสะดุดใจ เพราะแตกต่างจากที่เคยเข้าใจมาเกี่ยวกับ “ปางสะดุ้งมาร”

สรุปว่าเป็นฝ่ายไหนแน่ที่สะดุ้ง ถ้าคุณลองค้นในวิกิพีเดีย หรือกลุ่มออนไลน์ต่างๆจะพบความเห็นไปในแนวเดียวกัน ว่าเป็นพญามารที่สะดุ้งกลัวบารมี 10 ทัศ ของพระโพธิสัตว์ แต่ข้อความที่จะยกมานี้สวนทางกันเลย อีกทั้งปางสะดุ้งมาร กับ ปางมารวิชัย ก็เป็นคนละปางกัน ซึ่งผมก็นึกว่าเป็นปางเดียวกันมาตลอด ลองอ่านดูครับ…

“ในตอนบ่ายของวันที่จะได้ตรัสรู้ขณะที่นั่งทำสมาธิอยู่ใต้ต้นศรีมหาโพธิได้สะดุ้งตกใจ เกรงกลัวมารน้อยใหญ่ที่ได้ยกทัพมาผจญ ถึงขนาดยกมือขวาที่วางซ้อนทับมือซ้ายไว้ในท่านั่งสมาธิ เอาลงมากุมหัวเข่าหรือหน้าแข้งขวาไว้ จึงเรียกพระปางนี้ว่า “ปางสะดุ้งมาร” พอตั้งสติได้โดยนึกถึงบุญและทานในบารมี ๑๐ ทัศ ที่ได้ทำและฝากแม่พระธรณีสุนทริวนิดาเอาไว้ จึงขอให้นำเอาขึ้นมาใช้ต่อสู้กับมารและเสนามาร จนได้รับชัยชนะในเวลาก่อนพระอาทิตย์ตกดิน จึงเรียกพระปางนี้ว่า “ปางชนะมารหรือปางมารวิชัย” ซึ่งยังไม่ได้ตรัสรู้ทั้ง 2 ปาง

หลังจากนั้นจึงยกมือขวาขึ้นมาวางทับมือซ้าย ทำสมาธิใหม่จนได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้าและมีพระนามว่า “พุทธโคดม” เมื่อวันพุธ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ (ก่อน พ.ศ. ๔๕ ปี) ตอนรุ่งอรุณ ที่ใต้ต้นศรีมหาโพธิใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เมืองคยา ประเทศอินเดีย…”

อ่านแล้วผมคล้อยตามสมเด็จท่าน และได้สติระลึกขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า เกิดเป็นคนย่อมตกใจได้ หวาดกลัวได้ แต่สุดท้ายขอให้เรียกสติกลับคืนมาเถิด เมื่อสติตั้งมั่นแล้ว แม้มารผจญก็สามารถเอาชนะได้ครับ.